วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย |
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี 27/01/59
เรียนครั้งที่ 3 เวลาเรียน 08:30 - 12:30
กลุ่ม 102 วันพุธ ห้อง 223
วัน/เดือน/ปี 27/01/59
เรียนครั้งที่ 3 เวลาเรียน 08:30 - 12:30
กลุ่ม 102 วันพุธ ห้อง 223
Knowledge
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
- มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
- เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
- พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
- เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
- อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
- มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
- จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
- มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
- มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
- เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
- มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
- ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
เด็กฉลาด
- ตอบคำถาม
- สนใจเรื่องที่ครูสอน
- ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน
- ความจำดี
- เรียนรู้ง่ายและเร็ว
- เป็นผู้ฟังที่ดี
- พอใจในผลงานของตน
Gifted
- ตั้งคำถาม
- เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
- ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
- อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
- เบื่อง่าย
- ชอบเล่า
- ติเตียนผลงานของตน
2 . กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.
เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6.
เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.
เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8.
เด็กออทิสติก
9.
เด็กพิการซ้อน
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
(Children
with Intellectual Disabilities)
หมายถึง
เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน
มี
2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
1. ภายนอก
• เศรษฐกิจของครอบครัว
• การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
• สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
• การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
• วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
• พัฒนาการช้า
• การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ
18
พฤติกรรมการปรับตน
- การสื่อความหมาย
- การดูแลตนเอง
- การดำรงชีวิตภายในบ้าน
- การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
- การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
- การควบคุมตนเอง
- การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
- การใช้เวลาว่าง
- การทำงน
- การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา
(IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
- ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
•ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
•กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
•เรียนในระดับประถมศึกษาได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
•เรียกโดยทั่ว
ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
- ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
•ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
•กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
•เรียนในระดับประถมศึกษาได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
• ไม่พูด
หรือพูดได้ไม่สมวัย
• ช่วงความสนใจสั้น
วอกแวก
• ความคิด
และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
• ทำงานช้า
• รุนแรง
ไม่มีเหตุผล
• อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
• ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
สาเหตุ
- ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
- ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา
1 แท่ง (Trisomy
21)
อาการ
- ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
-หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
-ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
-ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
- เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
-ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
- มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
-เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
-ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
-มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
-บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
-อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
- อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
-การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
-อัลตราซาวด์
-การตัดชิ้นเนื้อรก
-การเจาะน้ำคร่ำ
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
(Children with Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนมี
2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึงหมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่
26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่
41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
เ เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน• ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
มักตะแคงหูฟัง
• ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
• พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
• พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
• พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
• เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
• รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
• มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
• ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
• พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
• พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
• พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
• เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
• รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
• มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
(Children with Visual
Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง
เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง
1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน
30 องศา
จำแนกได้เป็น
2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
-
เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย
หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
Snellen’s Chart
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
• เดินงุ่มง่าม
ชนและสะดุดวัตถุ
• มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
• มักบ่นว่าปวดศีรษะ
คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
• ก้มศีรษะชิดกับงาน
หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
• เพ่งตา
หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
• ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
• มีความลำบากในการจำ
และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
Skill
- ทักษะการคิด วิเคราะห์
- ทักษะการตอบคำถาม
Adoption
สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการเรียนการสอนเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษ คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาผู้ปกครองได้
Evaluation
Self = เข้าเรียนตรงต่อเวลา การแต่งตัวเรียบร้อย ร่วมทำกิจกรรมและตั้งใจทำกิจกรรม ทุกๆกิจกรรม และได้พัฒนาความคิดของตนเองด้วย
Friends = เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จะตั้งใจฟังอาจารย์ดี และตั้งใจทำกิจกรรม
Teacher = อาจารย์จะสอนและคอยอธิบายให้นักศึกษาฟังอย่างละเอียดเสมอและคอยกระตุ้นให้ นักศึกษาฝึกการคิดและมีเทคนิคต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น