วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Diary notes3

Diary notes

วิชา  การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
(Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood)
อาจารย์ผู้สอน  อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วัน/เดือน/ปี 27/01/59
เรียนครั้งที่ 3 เวลาเรียน 08:30 - 12:30
กลุ่ม 102 วันพุธ ห้อง 223



Knowledge

1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
  • มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
  • เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า เด็กปัญญาเลิศ

ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
  • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  • เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
  • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
  • จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
  • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
  • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
  • เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
  • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
  • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน


เด็กฉลาด
  •        ตอบคำถาม
  •        สนใจเรื่องที่ครูสอน
  •        ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
  •        ความจำดี
  •        เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
  •        เป็นผู้ฟังที่ดี 
  •        พอใจในผลงานของตน
Gifted 
  • ตั้งคำถาม 
  • เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
  • ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
  • อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
  • เบื่อง่าย  
  • ชอบเล่า 
  • ติเตียนผลงานของตน 
         2 . กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง

1เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน 

       1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา 
     (Children with Intellectual Disabilities)
 หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน

เด็กเรียนช้า
  - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  - ขาดทักษะในการเรียนรู้
  - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90

 สาเหตุของการเรียนช้า
             1. ภายนอก
• เศรษฐกิจของครอบครัว
• การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
• สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
• การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
• วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
• พัฒนาการช้า
• การเจ็บป่วย

                                     เด็กปัญญาอ่อน

  - ระดับสติปัญญาต่ำ
  - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
  - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
  - อาการแสดงก่อนอายุ 18

พฤติกรรมการปรับตน

- การสื่อความหมาย
- การดูแลตนเอง
- การดำรงชีวิตภายในบ้าน
- การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
- การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
- การควบคุมตนเอง
- การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
- การใช้เวลาว่าง
- การทำงน
- การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น

เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม

 1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
  - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น

2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)

3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
  - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
  - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
  - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)

4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
เรียนในระดับประถมศึกษาได้
สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
• ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
• ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
• ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
• ทำงานช้า
• รุนแรง ไม่มีเหตุผล
• อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
• ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
สาเหตุ
   - ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
   - ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)

อาการ
ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น
-หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
-ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
-ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
-ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
-เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
-ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
-มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
-บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
-อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง

การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
-การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
-อัลตราซาวด์  
-การตัดชิ้นเนื้อรก
-การเจาะน้ำคร่ำ  

2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน 
(Children with Hearing Impaired )

              หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 
        2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก

          เด็กหูตึงหมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง 
       จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม                                                                                                                              
                          
1.        เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
 
  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ 


2.        เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
 

 
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
  - จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
  - มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ


3.        เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB

 
 - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
   - เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
   - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
   - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
   - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
        

เ          เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
   - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
   - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
   - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
   - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
   - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด

         เด็กหูหนวก 
   - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
   - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
   - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
   - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป


       
   ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน• ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
• ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
• พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
• พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
• พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
• เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
• รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
• มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

     3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น 
  (Children with Visual Impairments) 

- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท

 เด็กตาบอด
   - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
   - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
   - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
   - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา

เด็กตาบอดไม่สนิท
  - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
   - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
   - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
   - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา 

Snellen’s Chart





ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
• เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
• มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
• มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
• ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
• เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
• ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
• มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต


Skill
  •        ทักษะการคิด วิเคราะห์
  •        ทักษะการตอบคำถาม

Adoption

            สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการเรียนการสอนเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษ คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาผู้ปกครองได้


Evaluation


Self = เข้าเรียนตรงต่อเวลา การแต่งตัวเรียบร้อย ร่วมทำกิจกรรมและตั้งใจทำกิจกรรม ทุกๆกิจกรรม        และได้พัฒนาความคิดของตนเองด้วย

Friends = เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จะตั้งใจฟังอาจารย์ดี และตั้งใจทำกิจกรรม

Teacher = อาจารย์จะสอนและคอยอธิบายให้นักศึกษาฟังอย่างละเอียดเสมอและคอยกระตุ้นให้                          นักศึกษาฝึกการคิดและมีเทคนิคต่างๆ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น